ข้อตกลงฉบับใหม่นี้ครอบคลุมประเด็นสำคัญแห่งอนาคต เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล การพัฒนาอย่างยั่งยืน และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน โดยการยกระดับความร่วมมือครั้งนี้ได้ถูกนำเสนอในงานมหกรรมจีน-อาเซียน (China-ASEAN Expo) ครั้งที่ 22 ณ เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 17 กันยายน งานนี้ดึงดูดผู้จัดแสดงกว่า 3,200 ราย จาก 60 ประเทศทั่วโลก ที่ต้องการเข้ามาคว้าโอกาสในสองตลาดที่มีศักยภาพและเติบโตอย่างรวดเร็ว
เทคโนโลยี AI และการผลิตขั้นสูง: ขับเคลื่อนการเติบโตยุคใหม่
หนึ่งในไฮไลต์สำคัญของงานมหกรรมคือ พาวิลเลียน AI ขนาด 10,000 ตารางเมตร ซึ่งจัดแสดงนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่สำหรับเศรษฐกิจสีน้ำเงิน (Blue Economy) รวมถึงเทคโนโลยียานยนต์พลังงานใหม่ และเทคโนโลยีสีเขียว ซึ่งล้วนเป็นสาขาที่มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญและเป็นแกนหลักของความร่วมมือในอนาคตระหว่างจีนกับอาเซียน
การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของจีน โดยเฉพาะเครือข่าย 5G ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของเทคโนโลยี AI ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และมีบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของจีนหลายรายเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการดิจิทัลต่าง ๆ ส่วนทางด้านอาเซียนเองก็เปิดรับการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลอย่างเต็มที่ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่ชัดเจนในการร่วมมือกับจีน โดยมี กว่างซี ซึ่งเป็นประตูเชื่อมต่อระหว่างจีนกับอาเซียน ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางและผู้บุกเบิกโครงการความร่วมมือดิจิทัลข้ามพรมแดน
ความร่วมมือด้าน AI ระหว่างทั้งสองฝ่ายกำลังเติบโตอย่างเป็นรูปธรรม ตัวอย่างเช่น บริษัทจากกว่างซีได้ร่วมมือกับบริษัทดิจิทัลชั้นนำของมาเลเซียเพื่อจัดตั้ง ศูนย์นวัตกรรมและความร่วมมือด้าน AI เพื่อมุ่งเน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างบล็อกเชนและวิทยาการหุ่นยนต์ ขณะที่ ศูนย์นวัตกรรมความร่วมมือด้านปัญญาประดิษฐ์จีน-อาเซียน ที่เมืองหนานหนิงก็ได้ลงนามความร่วมมือกับบริษัทในอาเซียนแล้วถึง 16 แห่ง
ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีน-อาเซียน ได้พิสูจน์แล้วว่ามีความมั่นคงและแข็งแกร่ง โดยจีนเป็น คู่ค้าอันดับหนึ่งของอาเซียน มา 16 ปีติดต่อกัน ขณะที่อาเซียนก็เป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของจีนมา 5 ปีติดต่อกัน การยกระดับข้อตกลงทางการค้าและผนวกเทคโนโลยี AI เข้ามาเป็นส่วนสำคัญจะช่วยขับเคลื่อนความสัมพันธ์ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น และนำมาซึ่งผลประโยชน์ที่ใหญ่กว่าเดิมสำหรับทั้งสองฝ่าย