เวทีระดับโลกนี้ได้ต้อนรับแขกผู้ทรงเกียรติกว่า 200 คน จากกว่า 30 ประเทศและภูมิภาค ซึ่งประกอบด้วยอดีตประมุขแห่งรัฐ ผู้นำรัฐบาล องค์กรระหว่างประเทศ ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และผู้นำทางธุรกิจจากทั่วโลก เพื่อรวมพลังหารือแนวทางการพัฒนาโลกให้ก้าวหน้า ภายใต้ธีม “เพื่อความร่วมมือและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันทั่วโลก” (For Global Cooperation and Solidarity)
ตลอดสามวันของการประชุม มีกิจกรรมหลัก 10 รายการ ตั้งแต่พิธีเปิด-ปิด การประชุมแบบปิด การอภิปรายเต็มคณะ การประชุมย่อยคู่ขนาน ไปจนถึงงานเลี้ยงรับรอง “Guangzhou Night” ผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนมุมมองอย่างลึกซึ้งในประเด็นสำคัญมากมาย อาทิ ความมั่นคงโลกในยุคแห่งความไม่แน่นอน การปรับปรุงธรรมาภิบาลโลกเพื่อเสถียรภาพ การสร้างความเข้าใจและความเสมอภาคในโลกที่หลากหลาย การสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรม ความมั่นคง และธรรมาภิบาล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) การส่งมอบสินค้าสาธารณะระดับโลก พลวัตการพัฒนาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและคาร์บอนต่ำ และแนวโน้มเศรษฐกิจโลกท่ามกลางความขัดแย้งทางการค้า
นายหยาง เจิ้น รองประธานคณะกรรมการแห่งชาติ ประจำสภาที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีน ได้เข้าร่วมพิธีเปิดและกล่าวปราศรัย โดยชี้ให้เห็นถึง “ภูมิปัญญาจีนและแนวทางแก้ไขปัญหาแบบจีน” ที่เสนอผ่านข้อริเริ่มของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ข้อริเริ่มด้านการพัฒนาโลก ความมั่นคงโลก อารยธรรมโลก และธรรมาภิบาลโลก เขาย้ำว่า จีนพร้อมเป็นผู้ปฏิบัติที่จริงจัง และจะร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อรับมือกับความท้าทายด้วยความเป็นเอกภาพ ส่งเสริมความก้าวหน้าด้วยการเปิดกว้างและการยอมรับความแตกต่าง สร้างแรงขับเคลื่อนความร่วมมือผ่านผลประโยชน์ร่วมกัน เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าเดิมให้แก่มวลมนุษย์
ดร. เชา ชัก วิง ผู้ก่อตั้งการประชุมฯ ได้กล่าวเน้นย้ำถึงบทบาทของเวทีนี้ว่า “ยิ่งมีความคิดเห็นแตกต่างกันมากเท่าไร เรายิ่งต้องมีการพูดคุยกันมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งมีความท้าทายมากเท่าไร เรายิ่งต้องมีส่วนร่วมมากขึ้นเท่านั้น” โดยเน้นย้ำว่า การปฏิรูปและพัฒนาธรรมาภิบาลโลก รวมถึงการพิทักษ์สันติภาพและความเจริญก้าวหน้าของโลกยังคงเป็นประเด็นหลักที่ทุกคนให้ความสำคัญ
ในการหารือหัวข้อ “การปรับปรุงธรรมาภิบาลโลก: มุ่งยกระดับเสถียรภาพและความแน่นอน” อดีตผู้นำต่างประเทศและองค์กรระหว่างประเทศกว่า 30 คน รวมถึงผู้แทนจากภาคการเมือง ธุรกิจ และวิชาการ ได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอันมีสาระสำคัญ
วอลคาน บอสคีร์ ประธานสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 75 เน้นย้ำว่า ในขณะที่สหประชาชาติกำลังจะครบรอบปีที่ 80 ระบบระหว่างประเทศกำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ ๆ ในศตวรรษที่ 21 ซึ่งจำเป็นเร่งด่วนต้องมีการปฏิรูปและเสริมสร้างความแข็งแกร่ง โดยกล่าวว่า “ไม่มีองค์กรใดเข้ามาแทนที่สหประชาชาติได้” และต้องส่งเสริมให้องค์กรนี้มีบทบาทที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
ด้าน ฮัน ซึงซู อดีตนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐเกาหลี ได้เสนอให้นำประสบการณ์ของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) มาเป็นแนวทางในการจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแล ปัญญาประดิษฐ์ระหว่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าเทคโนโลยี AI จะยังคงปลอดภัย สามารถควบคุมได้ และสร้างประโยชน์แก่คนทั้งโลก โดยไม่ถูกผูกขาด
ผู้เข้าร่วมหลายคนต่างชื่นชมว่าหัวข้อการประชุมครั้งนี้ “เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน” อย่างยิ่ง เนื่องจากความท้าทายสำคัญ ๆ ของโลก เช่น การพัฒนาที่ไม่สมดุล ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ธรรมาภิบาล AI และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ล้วนเข้ามาเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก
บัน คีมูน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ชี้ว่า กระบวนการสร้างความเห็นพ้องร่วมกันผ่านความเข้าใจ การเปิดรับความหลากหลาย และการเจรจา เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความไว้วางใจขึ้นใหม่ ลดความบาดหมาง และเสริมสร้างรากฐานความร่วมมือให้มั่นคง เขาย้ำว่า “เราต้องร่วมกันพิทักษ์รักษาสันติภาพโลกและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อให้แน่ใจว่าผลประโยชน์จะตกทอดสู่คนรุ่นปัจจุบันและอนาคต”
นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2557 การประชุมนานาชาติอิมพีเรียล สปริงส์ ได้จัดขึ้นจนประสบผลสำเร็จมาแล้ว 9 ครั้ง และยังคงเป็นเวทีชั้นนำในการส่งเสริมการเสวนา สร้างความเห็นพ้องร่วมกัน และขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างจีนกับประชาคมโลกอย่างต่อเนื่อง โดยได้รวบรวมบุคคลสำคัญกว่า 200 คน และผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ รวมถึงผู้นำภาคธุรกิจกว่า 600 คน มาร่วมอภิปรายประเด็นสำคัญต่าง ๆ และสร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมต่อเวทีโลกอย่างสม่ำเสมอ