ชมิดต์เผยว่าความท้าทายที่แท้จริงของการกำกับดูแล AI ไม่ได้อยู่ที่การเข้าถึงเทคโนโลยี แต่อยู่ที่คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ: “ใครจะเป็นผู้กำหนดขอบเขตการใช้งาน” เขาชี้ให้เห็นว่าในขณะที่ระบบ AI ทั้งแบบโอเพนซอร์สและแบบปิดแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว การสร้างมาตรการความปลอดภัยที่บังคับใช้ได้จริงกลับต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างเร่งด่วน
เมื่อถูกถามเกี่ยวกับโอกาสความร่วมมือด้าน AI ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ชมิดต์เสนอแนวคิดที่น่าสนใจ: การทำงานร่วมกันควรมุ่งเน้นที่ประเด็นเสี่ยงสูง เช่น อาวุธที่ควบคุมด้วย AI การจำลองตัวเอง และการเรียนรู้แบบอิสระ เขายืนยันว่าการหยุดการพัฒนาไม่ใช่คำตอบ สิ่งที่จำเป็นคือการหารืออย่างจริงจังเกี่ยวกับวิธีการรักษาการควบคุมของมนุษย์
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมเปิด ชมิดต์วิเคราะห์แนวโน้มของโมเดล AI ชั้นนำของจีนที่ใช้แนวทาง Open Weight และโอเพนซอร์ส แม้ระบบเปิดจะเร่งการสร้างสรรค์นวัตกรรม แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เนื่องจากข้อจำกัดเดิมอาจถูกถอดออกได้ง่าย
ทั้งนี้ เขายังคงสนับสนุนแนวทางเปิดกว้าง โดยเสนอให้พัฒนากลไกป้องกันที่รัดกุมผ่านความร่วมมือระดับโลก และให้ความสำคัญกับเทคนิค “Alignment” ที่ฝึกฝน AI ให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมอันตรายตั้งแต่เริ่มต้น
ชมิดต์นำประสบการณ์จากยุคที่ Google แข่งขันกับ Microsoft และ Apple มาเปรียบเทียบ เขามองว่าการแข่งขันระหว่างประเทศในด้าน AI ก็สามารถกระตุ้นความก้าวหน้าได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเป็นสองประเทศที่มีบทบาทสำคัญต่อเสถียรภาพโลก
Schmidt เสนอให้ใช้เทคนิค “Alignment” ในการฝึกฝน AI ให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นอันตรายตั้งแต่ต้น โดยปลูกฝังคุณค่าของมนุษย์ลงในโมเดล ทำให้ไม่สามารถละเมิดได้ตั้งแต่กำเนิด
การสนทนาปิดท้ายด้วยประเด็นจริยธรรมในการกำกับดูแล AI ซึ่งสะท้อนแนวคิดในหนังสือ “Genesis” ที่ชมิดต์ร่วมเขียนกับเฮนรี คิสซินเจอร์และเครก มันดี หนังสือเล่มนี้เตือนว่าหากมนุษย์ขาดกรอบจริยธรรมร่วมกัน เราอาจสูญเสียการควบคุมทิศทางของเทคโนโลยีไป
การสนทนาครั้งนี้เผยให้เห็นว่าการกำกับดูแล AI ในระดับโลกต้องอาศัยมากกว่าเทคโนโลยี แต่ต้องการความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับความรับผิดชอบและจริยธรรมของมนุษย์ในยุคดิจิทัล